“เขมร” ไม่ใช่ “ขอม”: มองอดีตให้ชัด เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างสันติ

ภาพประกอบชุด "เขมร ไม่ใช่ ขอม: ก้าวข้ามอดีตสู่อนาคต" ภาพที่ 1: "อารยธรรมโบราณ" และ "ชาติพันธุ์ปัจจุบัน" แนวคิด: ภาพที่เปรียบเทียบเงาของอาณาจักรขอมโบราณ (นครวัดในโทนสีเก่า) กับชาวเขมรยุคปัจจุบันที่มองไปสู่อนาคตที่สดใส เพื่อสื่อว่าพวกเขาคือ "ทายาท" ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

“เขมร” ไม่ใช่ “ขอม”: มองอดีตให้ชัด เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างสันติ

ข้อถกเถียงว่า “เขมรคือขอม” หรือไม่ เป็นประเด็นที่ร้อนแรงและเต็มไปด้วยอคติทางประวัติศาสตร์มานานหลายทศวรรษ ความจริงทางวิชาการที่ชัดเจนคือ “ขอม” (Khmer Empire หรือ Angkorian Civilization) เป็นอารยธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่ที่รุ่งเรืองระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 9-15 ส่วน “เขมร” (Khmer People) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์และรัฐชาติสมัยใหม่ (กัมพูชา) ซึ่งเป็นหนึ่งในทายาททางสายเลือดและวัฒนธรรมของอาณาจักรขอมโบราณนั้น การเหมารวมว่า “เขมร = ขอม” เป็นการมองประวัติศาสตร์อย่างง่ายๆ และคลาดเคลื่อน

 "เขมร" ไม่ใช่ "ขอม": มองอดีตให้ชัด เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างสันติ
ภาพประกอบ AI : “มรดกร่วมแห่งอุษาคเนย์” (Shared Heritage)
แนวคิด: ภาพแผนที่โบราณของภูมิภาคที่แสดงรากของอารยธรรมขอมแผ่ขยายไปทั่วดินแดนไทย กัมพูชา และลาว เชื่อมโยงปราสาทต่างๆ เข้าด้วยกัน

มรดกขอม: ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือมรดกร่วมของภูมิภาค

ข้อเท็จจริงที่สำคัญยิ่งคือ ประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นดิน (ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนามตอนใต้) ล้วนมีสายเลือดและได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอารยธรรมขอมโบราณผสมผสาน การขยายอำนาจของอาณาจักรขอมครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนทางชาติพันธุ์และการถ่ายทอดวัฒนธรรม ศิลปะ สถาปัตยกรรม และความเชื่อไปทั่วภูมิภาค ปราสาทหินขอมจำนวนมากจึงไม่ได้ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชาปัจจุบันเท่านั้น แต่กระจายอยู่ในไทย (เช่น พิมาย ภูพระบาท พนมรุ้ง) ลาว และเวียดนามด้วย นี่คือหลักฐานชัดเจนว่ามรดกขอมคือ “มรดกร่วม” (Shared Heritage) ของหลายชนชาติในอุษาคเนย์

การ “เคลม” มรดกขอมของกัมพูชา: แสวงหาอะไร?

การที่รัฐบาลและนักชาตินิยมเขมรพยายามย้ำว่ามรดกขอมเป็นของกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียว และเรียกร้องคืนโบราณวัตถุหรือแม้แต่พยายามอ้างสิทธิ์เหนือปราสาทขอมในประเทศเพื่อนบ้าน (โดยเฉพาะกรณีปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ตามที่ปรากฏในข่าว) นั้น มองได้จากหลายมุม:

  1. การสร้างอัตลักษณ์ชาติ (Nation-Building): หลังยุคอาณานิคมและสงครามกลางเมืองอันยาวนาน กัมพูชาต้องการรากฐานทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ (นครวัด) เพื่อสร้างความภาคภูมิใจและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติ มรดกขอมจึงถูกยกขึ้นเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของความเป็น “เขมร” ในปัจจุบัน
  2. ผลประโยชน์ทางการท่องเที่ยว: ปราสาทนครวัดคือแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว การเป็น “เจ้าของ” มรดกโลกชิ้นนี้แต่เพียงผู้เดียวย่อมให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาล
  3. ความชอบธรรมทางการเมือง: รัฐบาลสามารถใช้ความยิ่งใหญ่ในอดีตมาสร้างความชอบธรรมและกระชับอำนาจในปัจจุบัน
  4. การชดเชยความบอบช้ำทางประวัติศาสตร์: ความรู้สึกถูกกดขี่และเสียดินแดนในอดีต (โดยเฉพาะจากไทยและเวียดนาม) ทำให้เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะ “เรียกคืน” สิ่งที่คิดว่าเป็นของตน
 "เขมร" ไม่ใช่ "ขอม": มองอดีตให้ชัด เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างสันติ

ปัญหาจากนักประวัติศาสตร์ไทย “เจ้าของสื่อ” และมายาคติ “เขมร=ขอม”

ความซับซ้อนของปัญหานี้ทวีคูณจากทัศนะคติบางส่วนในไทย นักประวัติศาสตร์และสื่อไทยบางกลุ่มที่ยึดติดกับแนวคิด “เขมร=ขอม” และพยายามยืนยันความถูกต้องของตัวเองมาหลายทศวรรษนั้น สร้างผลเสียหลายประการ:

  • ทำให้ประวัติศาสตร์บิดเบือน: การยัดเยียดให้คนเขมรปัจจุบันเป็น “ขอม” โดยไม่แยกว่า “ขอม” คืออารยธรรมโบราณที่มีผู้สืบทอดหลายกลุ่ม ทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์อย่างผิดพลาด
  • สร้างอคติและความขัดแย้ง: ทัศนคติดูถูกว่าเขมรเป็นเพียง “ขี้ข้า” หรือการเหมารวมในทางลบ กลายเป็นเชื้อเพลิงให้เกิดความไม่เข้าใจและความตึงเครียดระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
  • บดบังความเป็นพหุลักษณ์ของไทย: การยืนยันแต่เพียงว่าวัฒนธรรมขอมที่พบในไทยเป็นของเขมรโดยไม่ยอมรับความจริงว่ามันคือผลพวงจากการแผ่อิทธิพลของอารยธรรมโบราณที่เราก็ได้รับมาและปรับใช้ ทำให้มองข้ามความซับซ้อนและความหลากหลายในการก่อตัวของวัฒนธรรมร่วม

ทางออก: หันหน้ามาสู่ปัจจุบัน สร้างอนาคตร่วมกัน

การยึดติดกับอดีตและมุ่งแต่จะแย่งชิง “ก้อนหิน” และความยิ่งใหญ่ที่สูญสลายไปแล้ว เป็นการสูญเปล่าและสร้างรอยร้าว ทั้งกัมพูชาและไทยควรก้าวข้ามมายาคติเหล่านี้:

  • อยู่กับปัจจุบัน ดูแลสมบัติที่มี: กัมพูชาควรทุ่มเททรัพยากรและความเชี่ยวชาญในการดูแล บูรณะ และพัฒนาการท่องเที่ยวปราสาทขอมอันเลอค่าภายในประเทศของตน (โดยเฉพาะนครวัด) ให้ดียิ่งขึ้น เป็นมรดกโลกที่สมบูรณ์และปลอดภัยสำหรับมนุษยชาติ สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและปลอดภัยเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก สร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้ประเทศ
  • ยอมรับมรดกร่วม (Shared Heritage): ไทยและกัมพูชาควรยอมรับร่วมกันว่าอารยธรรมขอมโบราณคือมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของภูมิภาคนี้ร่วมกัน การมีปราสาทขอมในหลายประเทศไม่ใช่ของเขมร แต่เป็นหลักฐานความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ขอมอันยาวนาน
  • ร่วมมือกันพัฒนา:
    • การท่องเที่ยวข้ามแดน: ส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงปราสาทขอมในไทยและกัมพูชา (เช่น เส้นทางอีสานใต้-เสียมราฐ) นักท่องเที่ยวได้ประโยชน์ ประชาชนท้องถิ่นมีรายได้ ทั้งสองประเทศได้สัมพันธภาพที่ดี
    • วิชาการร่วมมือ: นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ นักอนุรักษ์จากทั้งสองฝ่ายควรร่วมมือศึกษาวิจัยและบูรณะมรดกขอมอย่างจริงจังบนพื้นฐานทางวิชาการ ปราศจากอคติชาตินิยม
  • สื่อสร้างสรรค์: สื่อทั้งไทยและกัมพูชามีบทบาทสำคัญ ควรนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ยุติธรรม สร้างความเข้าใจ ไม่ใช่ยั่วยุหรือผลิตซ้ำอคติเก่า
 "เขมร" ไม่ใช่ "ขอม": มองอดีตให้ชัด เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างสันติ

สรุป: การยึดติดกับอดีตเพียงเพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าของ “ก้อนหิน” และความยิ่งใหญ่ที่จมหายไปแล้ว ไม่ได้สร้างประโยชน์แท้จริงให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายเลย การยอมรับความจริงทางประวัติศาสตร์ว่า “เขมร” สมัยใหม่เป็น “ทายาท” คนหนึ่งของอารยธรรม “ขอม” ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งทายาททางวัฒนธรรมนั้นกระจายอยู่ทั่วอุษาคเนย์ และการหันมาใส่ใจดูแลมรดกที่มีอยู่ให้ดีที่สุด พัฒนาประเทศ สร้างสันติภาพ และเปิดโอกาสให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวระหว่างกันต่างหาก ที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนชาวเขมร ชาวไทย และประชาชนทั้งภูมิภาคในระยะยาว การอยู่กับปัจจุบันอย่างสร้างสรรค์คือหนทางที่ชาญฉลาดกว่าการจมปลักอยู่กับอดีตที่ตีความไม่จบไม่สิ้น

 "เขมร" ไม่ใช่ "ขอม": มองอดีตให้ชัด เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างสันติ

Share this content:

เกี่ยวกับผู้เขียน

You May Have Missed