การจัดการงบประมาณฉุกเฉิน เป็นความท้าทายที่ต้องบาลานซ์ระหว่าง “ความรวดเร็ว” กับ “ความโปร่งใส”
การจัดการงบประมาณฉุกเฉิน (เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติ โรคระบาด) เป็นความท้าทายที่ต้องบาลานซ์ระหว่าง “ความรวดเร็ว” กับ “ความโปร่งใส” อย่างชาญฉลาด หลังวิเคราะห์กรณีศึกษาและโมเดลสากล ขอนำเสนอ 7 กลไกป้องกันทุจริตแบบไม่ตัดประสิทธิภาพ:
1. สร้างเกราะป้องกันตั้งแต่ขั้นตอนเบิกจ่าย
- ระบบ “เบิกก่อน-ตรวจสอบทีหลัง” โดยอัตโนมัติ:
- กำหนดวงเงินเบิกขั้นต้นตามประเภทภัยพิบัติ (เช่น น้ำท่วม ≤ 500 ล้าน/จังหวัด)
- ใช้ AI ตรวจจับความผิดปกติ เช่น ราคาวัสดุกู้ภัยสูงกว่าตลาด 20% ขึ้นไป
- เปิดเผยข้อมูลแบบ Real-time:
- แพลตฟอร์มเปิดข้อมูลทุกการเบิกจ่าย (เช่น เว็บ Open Crisis Budget)
- แมปดิจิทัลแสดงจุดใช้งบ + ภาพถ่าย satellite ก่อน-หลังดำเนินการ
2. ออกแบบกระบวนการ “เร็วแต่ตรวจสอบได้”
มาตรการ | กลไก | ตัวอย่างปฏิบัติจริง |
---|---|---|
แบ่งประเภทภัย | ระดับ A (วิกฤตทันที): ใช้สิทธิเบิกโดยผู้ว่าฯ/นายอำเภอ ระดับ B (เร่งด่วน): ผ่านคณะกรรมการ 3 ฝ่าย | ญี่ปุ่น: แบ่งเป็น “ภาวะฉุกเฉินวิกฤติ” vs “ฉุกเฉินทั่วไป” |
ลดเอกสารแต่เพิ่มดิจิทัล | สแกน QR Code ติดตัวผู้รับเหมา + Geo-tagging สถานที่ทำงาน | ยูเครน: ใช้ระบบ Dozorro รายงานคอร์รัปชันแบบ real-time ในสงคราม |
คณะกรรมการเฉพาะกิจ | ประกอบด้วย ตัวแทนรัฐ + ภาคประชาชน + ผู้เชี่ยวชาญอิสระ | ไต้หวัน: มี “ทีมเสือตรวจสอบ” จาก NGOs ในคณะทำงาน |
3. ใช้เทคโนโลยีสกัดจุดรั่ว

- บล็อกเชนสำหรับงบประมาณ:
- บันทึกทุกการโอนเงินในระบบกระจายศูนย์ (Immutable Ledger)
- ติดตามการไหลของเงินถึงมือผู้รับประโยชน์สุดท้าย
- ระบบคาดการณ์ความเสี่ยง (Risk Radar):
- วิเคราะห์ข้อมูลประวัติทุจริต + รูปแบบการใช้ซ้ำ
- แจ้งเตือนเมื่อพบ “รูปแบบน่าสงสัย” เช่น การซื้ออุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้ในภัยดังกล่าว
4. กลไกตรวจสอบภายหลังแบบ Hybrid
- Audit แบบ 2 ชั้น:
- ชั้นที่ 1: ตรวจสอบภายใน 30 วันหลังสิ้นเหตุฉุกเฉิน
- ชั้นที่ 2: สุ่มตรวจโดยองค์กรอิสระ (เช่น ป.ป.ช. + สถาบันวิชาการ)
- มาตรการคืนเงินหากพบทุจริต:
- เพิ่มบทลงโทษเป็น “คืนเงิน 300% + แบนรับงานรัฐ 10 ปี”
5. เปิดช่องทางรายงานแบบไม่เปิดเผยตัวตน
- แอปพลิเคชัน “Whistleblowing for Crisis”:
- รองรับการส่งหลักฐานภาพ/วิดีโอแบบเข้ารหัส
- ให้รางวัล 5-15% ของเงินที่กู้คืนได้
- ศูนย์รับเรื่องฉุกเฉินระดับชาติ:
- เชื่อมต่อกับหน่วยงานปราบปรามคอร์รัปชันโดยตรง
6. บทเรียนจากต่างประเทศ
- ฟิลิปปินส์ (หลังไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน):
- ใช้ “บัญชีทรัสต์พิเศษ” โดยธนาคารโลกร่วมควบคุม
- ประชาชนสแกน QR เพื่อดูสถานะเงินช่วยเหลือ
- สหรัฐฯ (เฮอริเคนแคทรีนา):
- สร้าง National Center for Disaster Fraud (NCDF) รับแจ้งเบาะแส
7. มาตรการเชิงรุกระยะยาว
- ฐานข้อมูลกลาง (Master Database):
- รวบรวมข้อมูลผู้ประกอบการ/ราคาวัสดุฉุกเฉินตามจริง
- ป้องกันการตั้งราคาเอารัดเอาเปรียบ
- ฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกับประชาชน:
- แทรกโจทย์ “การตรวจสอบงบประมาณ” ในแผนฝึกรับมือภัยพิบัติ
⚖️ จุดสมดุลที่ต้องรักษา:
“ความเร็วไม่ควรเป็นข้ออ้างของความมืดบอด ความโปร่งใสไม่ควรทำให้ช่วยชีวิตไม่ทัน”
กรณีศึกษาแก้ไขได้จริง:
หลังสึนามิ 2547 อินโดนีเซีย ถูกวิจารณ์หนักเรื่องทุจริตเงินช่วยเหลือ จึงสร้างแพลตฟอร์ม ** Recovery Aceh-Nias Database (RAND) เปิดข้อมูลทุกโครงการ ทำให้ปี 2561 เมื่อเกิดแผ่นดินไหวสุลาเวสี สามารถกระจายเงิน 200 ล้านดอลลาร์โดยพบทุจริตน้อยลงถึง 76%
หากไทยนำโมเดลเหล่านี้มาประยุกต์ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อ “เทคโนโลยี + การมีส่วนร่วมประชาชน” จะลดช่องโหว่ได้แม้ในสภาวะวิกฤติ ซึ่งหลายหน่วยงานในประเทศไทยควรมี เช่น ระบบ ThaiCrisisBudget Tracker
=========
เพื่อป้องกันทุจริตงบประมาณฉุกเฉินสำหรับ “อาหารและของใช้จำเป็นในศูนย์พักพิงชั่วคราว” ของไทย ขอเสนอ 5 กลไกปฏิบัติได้จริง พร้อมตัวอย่างเครื่องมือเฉพาะ:
1. ระบบลงทะเบียนผู้ประสบภัยแบบดิจิทัล (Real-time Registration)
- เครื่องมือ: แอป “ThaiShelter Track” + SMS Gateway
- วิธีทำงาน:
- ผู้เข้าใช้บริการสแกนบัตรปชช. หรือลงทะเบียนด้วย SMS (หมายเลขบัตร 13 หลัก → ศูนย์)
- สร้าง QR Code ประจำตัว สำหรับรับอาหาร/ของใช้
- ระบบคำนวณสต็อกของศูนย์แบบเรียลไทม์
2. มาตรฐาน “ชุดช่วยภัยโปร่งใส” (Transparency Kit)

ของใช้ | วิธีป้องกันทุจริต |
---|---|
อาหารแห้ง | – บรรจุในถุงซีลพร้อม QR Code ตรวจสอบย้อนกลับ – แสดงข้อมูล: ผู้ผลิต, ราคาต่อหน่วย, วันที่ผลิต |
น้ำดื่ม | – ใช้ขวดแบบ สกรีนลายพิเศษ (ปลอมแปลงยาก) – ระบุข้อความ “สำหรับผู้ประสบภัยเท่านั้น“ |
ของใช้จำเป็น | – แพ็กเกจสีสันเฉพาะกิจ (เช่น สีส้มสึนามิ สีฟ้าน้ำท่วม) ป้องกันการนำไปขายต่อ |
3. กลไก “สามสายตรวจ” (Triple Verification)
- สายที่ 1: อาสาสมัครชุมชน
- ตรวจสอบรายชื่อผู้รับจริง vs ข้อมูลระบบ
- สายที่ 2: ผู้นำศาสนา/ครู
- เป็นพยานการแจกจ่าย + รายงานภาพถ่ายออนไลน์
- **สายที่ 3: แพลตฟอร์ม *“ThaiPACC”* (Thai Public Anti-Corruption Crowdsourcing)**
- ประชาชนแจ้งเบาะแสผ่าน LINE OA ได้รางวัล 5% ของมูลค่าทุจริตที่กู้คืน

4. ระบบจัดซื้อฉุกเฉินแบบ “เปิดค่าเฉลี่ย” (Live Price Benchmark)
- เครื่องมือ: เว็บ “GProcure Crisis”
- กลไก:
- เปิดเผย ราคาอ้างอิง 4 ระดับ ในพื้นที่:
> ① ราคากลางราชการ
> ② ราคาตลาดท้องถิ่นวันนี้
> ③ ราคาซื้อล่าสุดในศูนย์ใกล้เคียง
> ④ ราคาที่ประชาชนแจ้งผ่านแอป - หากราคาจัดซื้อเกินค่าเฉลี่ย >15% ระบบแจ้งเตือนทันที
5. การตรวจสอบหลังเหตุการณ์ (Post-Crisis Audit)
- นวัตกรรม: “บล็อกเชนสำหรับงบเล็ก”
- บันทึกข้อมูลทุกขั้นตอนในเครือข่ายกระจายศูนย์:
mermaid graph LR A[ผู้ผลิต] -->|ส่งของ+สแกน QR| B(ศูนย์พักพิง) B -->|แจกจ่าย+สแกนบัตร| C[ผู้ประสบภัย] C -->|ยืนยันรับของ| D[ฐานข้อมูลบล็อกเชน]
- ผลตรวจสอบ: สรุปเป็น Dashboard สี
- 🟢 < 5% คลาดเคลื่อน
- 🟡 5-15% ต้องชี้แจง
- 🔴 >15% ส่ง ป.ป.ช.
กรณีศึกษาในไทยที่ใช้ได้ผล:
- อุทกภัย 2564 (บางระกำ):
- ใช้ LINE OA “ช่วยภัยพิทักษ์งบ” รับรายงานภาพถ่ายการแจกถุงยังชีพ
- พบการทุจริต 3 กรณี จาก 15,000 ถุง
- โควิด-19 (ศูนย์พักคอย):
- แจกอาหารกล่องติด สติกเกอร์ระบุคิวรหัส ลดการรับซ้ำ
💡 จุดสำคัญ: ต้องออกแบบให้ ผู้สูงอายุและคนขาดดิจิทัล เข้าถึงได้ เช่น ใช้กล่องรับ SMS ในศูนย์พักพิง แทนการพึ่งแอปเพียงอย่างเดียว

ต้นแบบงบประมาณ “อาหารปลอดทุจริต”:
1. อนุมัติงบ → 2. ประกาศราคาอ้างอิงในพื้นที่ → 3. ซื้อของพร้อมติดตาม QR
↓
4. แจกจ่ายด้วยระบบสแกนบัตร → 5. ประชาชนยืนยันรับของผ่าน SMS
↓
6. คลังข้อมูลบล็อกเชน → 7. เปิดเผย Dashboard สาธารณะ
กลไกเหล่านี้ไม่เพียงลดทุจริต แต่ยัง เพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือ โดยข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ชี้ว่า การใช้ระบบดิจิทัลตรวจสอบได้ลดความสูญเปล่างบประมาณได้ถึง 27% ในภาวะวิกฤติครับ.

Share this content: