ตำนานพระโค-พระแก้ว: เส้นบางๆ ระหว่างปัญญาชนกับปัญญาอ่อน
นิทานพื้นบ้านเรื่อง พระโค-พระแก้ว เป็นหนึ่งในตำนานสำคัญของกัมพูชาที่เล่าขานกันมาช้านาน เนื้อหาเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์และความเชื่อทางศาสนา แต่ก็แฝงไปด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองที่ถูกหยิบยกมาใช้ในยุคอาณานิคม จนกลายเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชังระหว่างชาติพันธุ์ โดยเฉพาะต่อคนไทย
เรื่องย่อตำนานพระโค-พระแก้ว
ตำนานนี้เล่าถึงชาวนาผู้ยากไร้คู่หนึ่งในเมืองละแวก (เมืองหลวงเก่าของกัมพูชา) ภรรยาตั้งครรภ์แต่ตกลงมาจากต้นมะม่วงขณะปีนเก็บผล ทำให้ครรภ์แตกและให้กำเนิดฝาแฝดสองคน แฝดพี่เป็นวัววิเศษชื่อ พระโค ส่วนแฝดน้องเป็นมนุษย์ชื่อ พระแก้ว พระโคมีอิทธิฤทธิ์เสกหญ้าเป็นอาหารและของวิเศษให้พระแก้วใช้สอย
เมื่อชาวบ้านรู้ความสามารถของพระโค พวกเขาต้องการฆ่าเพื่อชิงทรัพย์สมบัติในท้อง พระโคจึงพาพระแก้วเหาะหนีไป ต่อมาพระแก้วได้แต่งงานกับ นางเภา ธิดาของกษัตริย์เมืองละแวก ความวิเศษของพระโคเลื่องลือไปถึงกรุงศรีอยุธยา กษัตริย์สยามจึงส่งทูตมาท้าประลองชิงเมือง ในการประลอง 3 ครั้ง พระโคชนะ 2 ครั้ง แต่ครั้งสุดท้าย สยามใช้วัวพยนต์ (วัววิเศษ) มาสู้ พระโครู้ว่าแพ้แน่ จึงวางแผนพาพระแก้วและนางเภาหนี โดยบอกว่าเมื่อตนก้มหัว 2 ครั้ง ให้จับหางแล้วจะเหาะไปด้วยกัน
แต่ระหว่างหลบหนี นางเภาตกจากอากาศเสียชีวิต ส่วนพระโคและพระแก้วถูกจับ สยามยึดเมืองละแวกได้สำเร็จ และนำของวิเศษจากท้องพระโคกลับไปยังอยุธยา ทำให้สยามรุ่งเรือง ส่วนเขมรเสื่อมถอยลง
ตำนาน vs. ประวัติศาสตร์: เมื่อนิทานถูกใช้เป็นอาวุธ
แม้ตำนานพระโค-พระแก้วจะดูเป็นเพียงนิทานสอนใจ แต่ในยุคอาณานิคม ฝรั่งเศสได้นำเรื่องนี้มาผลิตซ้ำเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองกัมพูชา โดยพยายามเชื่อมโยงให้คนเขมรมองว่าคนไทยเป็น “ผู้รุกราน” ที่ทำให้ชาติเขมรอ่อนแอ
- การตีพิมพ์โดยฝรั่งเศส: ตำนานนี้ถูกพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสครั้งแรกในปี ค.ศ. 1860 และถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำในปี 1952 และ 2001 โดยเพิ่มภาพประกอบเพื่อให้เข้าถึงง่าย
- แบบเรียนเขมร: เรื่องนี้ถูกบรรจุในหนังสือประวัติศาสตร์เขมร ภาค 2 ของ ตรึง เงีย (ตฺรึง งา) สอนให้เด็กเขมรมองไทยเป็นศัตรู
- วารสารการเมือง: ดาวราย ลิ่มสายหั้ว และ สุรชาติ บำรุงสุข วิเคราะห์ว่า ฝรั่งเศสใช้ตำนานนี้สร้างความแตกแยกระหว่างไทย-เขมร เพื่อให้ตนดูเป็น “ผู้ปกป้อง” เขมรจากสยาม
เส้นบางๆ ระหว่างปัญญาชนกับปัญญาอ่อน
ที่น่าขันคือ ตำนานพระโค-พระแก้วถูกหยิบยกมาเป็น “ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์” โดยบางกลุ่มในกัมพูชา แม้แต่ในแวดวงวิชาการก็ยังมีการอ้างถึงอย่างจริงจัง
“ถ้าอ่านนิทานแล้วเชื่อตามขนาดนั้น ตอนอ่านพระอภัยมณี ป่านนี้คงคิดว่าคนไทยขี่ม้านิลมังกรไปโรงเรียนกันหมดทั้งประเทศแล้วมั้ง”
คำถามคือ… ทำไมบางคนอ่านหนังสือแล้วฉลาดขึ้น แต่บางคนอ่านแล้วกลับโง่ลง? นี่คือตัวอย่างของ “ปัญญาชนที่ตกเป็นทาสของอุดมการณ์” — คนที่เรียนสูงแต่ขาดการคิดวิเคราะห์ เชื่อทุกอย่างที่ถูกสอนโดยไม่ตั้งคำถาม
สรุป: นิทานก็คือนิทาน อย่าเอามาเป็นประวัติศาสตร์
ตำนานพระโค-พระแก้วเป็นแค่เรื่องเล่าที่สะท้อนความเชื่อและวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่เมื่อถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง มันกลายเป็นเชื้อไฟแห่งความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์
ในเมื่อเราอยู่ในยุคที่ข้อมูลเข้าถึงได้ง่าย การยึดติดกับนิทานโบราณโดยไม่พิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์ก็เหมือนเดินถอยหลังเข้าคลอง แล้วเราจะอยู่กับเพื่อนบ้านที่คิดแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?
#เส้นบางๆระหว่าง #ปัญญาชนกับปัญญาอ่อน
Share this content: