จำลองความสัมพันธ์ของบุคคลเพื่อวิเคราะห์หาผลลัพธ์การเจรจาผลประโชนย์ของชาติ (วิจัย)
การวิเคราะห์ความเชื่อมโยงและเหตุผลที่ทำให้ “ยากที่จะมั่นใจ”
โจทย์ :
1. สถานะความสัมพันธ์
– ทักษิณ เป็นเพื่อน ฮุนเซ็น
– ทักษิณเป็นเพื่อนอันวา
– ทักษิณเป็นพ่ออุ้งอิ้ง
– ทักษิณเป็นปรึกษาอันวาในฐานะประธานอาเซียน
– ทักษิณเคยเป็นที่ปรึกษาฮุนเซ็นเรื่องเศษรฐกิจ
– ฮุนเซ็นเป็นเพื่อนอันวา
– ฮุ่นเซ็นเป็นพ่อของฮุนมาเน็ต
– อุ้งอิ้งเป็นนายกรัฐมนตรีไทย
–ภูมิธรรมเป็นลูกน้องคนสนิทของทักษิณ
– ภูมิธรรมเป็นนายกรักษาการแทนอุ้งอิ้ง
สถานการณ์
– ประเทศไทยเกิดการสู้รบตามแนวชายแดนกับประเทศกัมพูชาโดยประเทศกัมพูชากล่าวอ้างว่าต้องการพื้นที่สามปราสาทในแนวเขตชายแดนเป็นของประเทศกัมพูชา โดยก่อนนี้มีรายการแฉรายวันระหว่างฮุนเซ็นกับนายทักษิณ , อุ้งอิ้งถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่หลังมีคลิปเสียงหลุดเนื้อหาการเจรจาปัญหาระหว่างประเทศในฐานะหลานกับลุง , ภูมิธรรมในฐานะรองนายกคนที่หนึ่งถูกแต่งตั้งเข้ามารักษาการแทนจากอุ้งอิ้ง

เริ่มวิเคราะห์โจทย์ด้วย AI เราใช้ Gamini 2.5 ในการวิเคราะห์
จากโจทย์ที่ให้มา เครือข่ายความสัมพันธ์ส่วนตัวนั้นหนาแน่นและทับซ้อนกับตำแหน่งทางการเมืองอย่างแยกไม่ออก นี่คือปัจจัยหลักที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างรุนแรง
1. “การเจรจาในครอบครัวและหมู่เพื่อน” ไม่ใช่ “การเจรจาระหว่างรัฐ”
- ผู้เจรจาฝั่งไทย (ภูมิธรรม): เป็น “ลูกน้องคนสนิท” ของทักษิณ และเป็น “นายกฯ รักษาการ” แทนลูกสาวทักษิณ สถานะของเขาจึงไม่ใช่ตัวแทนของประเทศไทยในภาพรวม แต่เป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจทักษิณอย่างชัดเจน
- ผู้เจรจาฝั่งกัมพูชา (ฮุนมาเน็ต): เป็น “ลูกชาย” ของฮุนเซ็น ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของทักษิณ เขากำลังเจรจาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตระกูลฮุนเซ็น
- ผู้ไกล่เกลี่ย (อันวา): เป็น “เพื่อน” ของทักษิณ และเคยให้ทักษิณเป็น “ที่ปรึกษา” บทบาทของเขาในฐานะคนกลางจึงน่ากังขาอย่างยิ่งว่าจะมีความเป็นกลางจริงหรือไม่
ภาพที่ออกมาจึงไม่ใช่ ไทยแลนด์ vs กัมพูชา แต่เป็น “ทีมทักษิณ” เจรจากับ “ทีมฮุนเซ็น” โดยมี “เพื่อนของทีมทักษิณ” เป็นกรรมการ การเจรจานี้จึงมีลักษณะเป็นการตกลงผลประโยชน์ส่วนตัว/ส่วนตระกูล มากกว่าการรักษาผลประโยชน์ของชาติ

2. ประวัติศาสตร์และพฤติกรรมในอดีต ตอกย้ำความไม่น่าไว้วางใจ
โจทย์ระบุว่า “อุ๊งอิ๊งถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จากเหตุการณ์ไปเจรจาลับกับฮุนเซ็นในฐานะหลาน” นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นว่า:
- กลุ่มอำนาจนี้ ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวในการเจรจาเรื่องของรัฐ โดยไม่ผ่านกลไกทางการทูตปกติ
- พวกเขา ไม่แยแสต่อกระบวนการตรวจสอบ และมองว่าความสัมพันธ์แบบ “ลุง-หลาน” สามารถใช้ในการหารือเรื่องผลประโยชน์ระดับชาติได้
เมื่อมีพฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว การจะให้ประชาชนเชื่อว่าการเจรจาครั้งถัดไปที่ใช้ตัวละครในเครือข่ายเดียวกันจะโปร่งใสและเพื่อชาติ จึงเป็นไปได้ยากมาก
3. ต้นตอของสงครามมาจากผลประโยชน์ส่วนตัว
โจทย์ระบุชัดเจนว่าสงครามเกิดจาก “ความขัดแย้งผลประโยชน์ของนายทักษิณกับนายฮุนเซ็น” หากต้นเหตุของความขัดแย้งที่ทำให้ทหารและพลเรือนต้องล้มตายคือเรื่องส่วนตัวของคนสองคน การแก้ปัญหาก็มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นการ “จัดสรรผลประโยชน์ส่วนตัว” ให้ลงตัวอีกครั้ง โดยใช้ทรัพยากรและอธิปไตยของชาติเป็นเครื่องมือในการต่อรอง
4. โครงสร้างอำนาจเบ็ดเสร็จในแต่ละฝ่าย
- ฝั่งกัมพูชา: อำนาจของตระกูลฮุนเซ็นนั้นเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การตัดสินใจของฮุนมาเน็ตคือการสะท้อนเจตจำนงของฮุนเซ็นโดยตรง
- ฝั่งไทย: ภูมิธรรมในฐานะคนสนิทและนายกฯ รักษาการ ก็มีแนวโน้มที่จะทำตาม “ใบสั่ง” หรือเจตนารมณ์ของทักษิณมากกว่าที่จะยึดโยงกับผลประโยชน์ของประชาชนหรือสภาผู้แทนราษฎร
เมื่อทั้งสองฝ่ายเป็นตัวแทนที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน แต่ยึดโยงกับ “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ของตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมมีแนวโน้มที่จะตอบสนองความต้องการของผู้นำเหล่านั้น

คำตอบสำหรับคำถาม: คนไทยจะมั่นใจได้อย่างไร?
ตอบตามตรงคือ “แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนไทยจะมั่นใจ” ภายใต้โครงสร้างและตัวบุคคลที่ระบุมาในโจทย์ ความเคลือบแคลงสงสัยย่อมมีน้ำหนักมากกว่าความเชื่อมั่นอย่างมหาศาล
อย่างไรก็ตาม หากจะสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้น (แม้จะยาก) จะต้องมีกลไกพิเศษเข้ามาตรวจสอบและถ่วงดุลอย่างเข้มข้น เช่น:
- การสร้างคณะผู้เจรจาแบบผสม: ไม่ใช่ส่งแค่ภูมิธรรมไปคนเดียว แต่ต้องตั้งคณะกรรมการเจรจาที่มีตัวแทนจากหลายฝ่าย เช่น:
- ตัวแทนจากพรรคฝ่ายค้าน
- ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย
- ตัวแทนจากกองทัพ
- ตัวแทนจากภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านชายแดนหรือทรัพยากร
- ความโปร่งใสขั้นสูงสุด (Radical Transparency):
- ต้องมีการแถลงกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาและสาธารณชนให้ชัดเจนก่อนเริ่มเจรจา
- ต้องมีการรายงานความคืบหน้าต่อสาธารณะเป็นระยะ
- ร่างข้อตกลงใดๆ ก็ตาม จะต้องถูกนำมาเปิดเผยและถกเถียงในสภาและในพื้นที่สาธารณะก่อนการลงนาม
- การใช้อำนาจของรัฐสภาในการตรวจสอบ:
- รัฐสภาต้องตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตามการเจรจาครั้งนี้โดยเฉพาะ และมีอำนาจเรียกผู้เจรจามาชี้แจงได้ตลอดเวลา
- ข้อตกลงสุดท้ายจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาก่อนจึงจะมีผลผูกพันทางกฎหมาย
สรุป
สถานการณ์ที่ให้มาคือฝันร้ายของการทูตสมัยใหม่ ที่ซึ่ง “ความสัมพันธ์ส่วนตัว” (Personal Ties) อยู่เหนือ “ผลประโยชน์ของชาติ” (National Interest) การที่ผู้เจรจา ผู้ไกล่เกลี่ย และผู้มีอำนาจตัวจริงหลังฉากล้วนอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน ทำให้การเจรจาครั้งนี้ขาดความชอบธรรมและความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชนโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น คนไทยทั้งประเทศจะไม่มีทางมั่นใจได้เลยว่าผลประโยชน์ของชาติจะไม่ถูกนำมาต่อรองให้กับคนสองตระกูล เว้นแต่จะมีกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลจากภาคส่วนอื่นของสังคมที่เข้มแข็งและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เข้ามาคานอำนาจของเครือข่ายนี้ ซึ่งในสถานการณ์สมมตินี้ ถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง
*** หมายเหตุ ชื่อบุคคลชื่อประเทศเหตุการณ์ ล้วนเป็นการสมมุติเพื่อการศึกษาความเป็นไปได้ของผลลัพธ์สำหรับโจทย์ที่ตั้งขึ้น บทวิเคราะห์ความเห็นทั้งหมดวิเคราะห์โดย AI Model Gamini 2.5Pro ภาพประกอบสร้างขึ้นโดย Ai Model Imagen 4 Ultra(Preview)
ขออภัยถ้าซื่อและเหตุการณ์ไปซ้ำกับเรื่องจริง
———–
Share this content: