รองแม่ทัพ ภาค2 พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ เปิด 11 ข้อโต้ลูกหลานละแวก
สุรินทร์ – พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เปิดข้อเท็จจริง 11 ข้อ ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว ข้อเกี่ยวกับปัญหาชายแดน ไทย-กัมพูชา ที่ทางกัมพูชาชอบยกมากล่าวอ้างถึงความชอบธรรมในการรุกล้ำอธิปไตยไทย
คำโปรยสรุปคำให้การ พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา
“ความจริง… ปัญหาเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชามายาวนาน เกิดจากยึดถือแผนที่คนละฉบับ โดยแผนที่ 1:200,000 จากสนธิสัญญา 1904/1907 คลาดเคลื่อนจากสันปันน้ำจริง
ทั้งสองฝ่ายจึงตั้ง JBC เพื่อจัดทำแนวเขตแดนใหม่ให้ชัดเจน พร้อมลงนาม MOU43 ห้ามดัดแปลงภูมิประเทศแนวชายแดน
แต่กัมพูชาละเมิด MOU43 ขยายชุมชน-สร้างคาสิโน-ปลูกพืชไร่ทำลายสันปันน้ำ ไทยประท้วงกว่า 400 ครั้ง
วิกฤตช่องอานม้าเริ่มเมื่อ 28 ก.พ.68: กัมพูชาเผาศาลาตรีมุข เคลื่อนกำลังรุกล้ำอธิปไตยไทย 150 เมตร ขุดคูเลททำลายสันปันน้ำ
ไทยพยายามแก้ปัญหาโดยสันติ-เจรจา ขอให้ถอนกำลังรุกล้ำหลายครั้ง แต่กัมพูชาปฏิเสธ อ้างว่าวางกำลังมาก่อน MOU43 ทั้งที่ “ถ้ามีกำลัง…ผมจะเดินผ่านเข้าไปได้อย่างไร?”
จนเกิดเหตุปะทะ 28 พ.ค.68
ปัจจุบันกัมพูชาเสริมกำลังตลอดแนวชายแดนในพื้นที่เดิมไม่มีกำลัง พร้อมขู่ฟ้องศาลโลก ทั้งที่มีกลไกร่วมแก้ไข “ถ้าเรื่องถึงโรงศาล…จะเป็นปรปักษ์กันตลอดไป”
ทางออกคือ… “เปิดหน้าคุยกันอย่างลูกผู้ชาย” ด้วยกติกาที่มีอยู่ “จะเกิดประโยชน์อะไรถ้าคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน?””

ความจริง…
1.ไทย-กัมพูชามีปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนมายาวนานเนื่องจากยึดถือหลักฐานแผนที่ที่ต่างกัน
2.แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นผลผลิตจากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907 เป็นแผนที่มาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด
3. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันว่าเพื่อแก้ไขปัญหาการยึดเส้นเขตแดนที่แตกต่างกันตามข้อ 1 และข้อ 2 จึงตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) ขึ้นมาเพื่อร่วมกันจัดทำแนวเขตแดนระหว่างกันให้ชัดเจนและเป็นเป็นที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่าย โดยผลผลิตสุดท้ายคือ หลักเขตแดน และแผนที่
4. ขณะที่ JBC ทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้การทำงานราบรื่นทั้งสองฝ่ายจึงมีข้อตกลง MOU43 สาระสำคัญข้อ 5 ระบุไม่ให้ทั้งสองฝ่ายดัดแปลงภูมิประเทศตามแนวชายแดนซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสันปันน้ำ
5. ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาละเมิด MOU43 มาโดยตลอด ขยายชุมชน สร้างกาสิโน ปลูกพืชไร่ประชิดชายแดน ที่เป็นการทำลายสันปันน้ำ เราประท้วง 400 กว่าครั้งแต่ให้ความร่วมมือแก้ไขน้อยมาก ในขณะที่ฝั่งเราเป็นเขตอุทยานเข้าไปทำอะไรไม่ได้
6. พื้นที่ช่องอานม้า ก่อนเกิดเหตุเผาศาลาตรีมุข(28 ก.พ.68) ทหารกัมพูชาวางกำลังห่างชายแดนไม่น้อยกว่า 500 ม. เราก็วางกำลังห่างระยะใกล้เคียงกัน ย่านกลางนั้นเป็นพื้นที่แห่งสันติภาพไปมาหาสู่ ประสานงาน พูดคุยแก้ปัญหากัน
7. วันที่ 28 ก.พ.68 กัมพูชาเผาศาลาตรีมุข เคลื่อนกำลังขึ้นมาวางที่ต้นพญาสัตบรรณซึ่งล้ำอธิปไตยไทยเข้ามาประมาณ 150 ม. รวมถึงขุดคูเลททำลายสันปันน้ำละเมิด MOU43
8. ฝ่ายเราพยายามแก้ปัญหาโดยสันติ อดทนอดกลั้น เจรจาขอให้ถอนกำลังที่รุกล้ำอธิปไตยไทยออกไปหลายครั้งแต่เขมรก็ไม่ยอมถอน สุดท้ายมีการใช้อาวุธเมื่อวันที่ 28 พ.ค.68
9. ผู้บังคับบัญชาของไทยทุกระดับพยายามแก้ไขปัญหาโดยสันติ เจรจาขอให้ถอนกำลังจากจุดที่รุกล้ำ แต่เขมรอ้างว่ากำลังส่วนนี้วางอยู่เดิมมาตั้งแต่ก่อนมี MOU43 ซึ่งไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอนเพราะถ้ามีกำลังวางอยู่จุดนี้เมื่อปีที่แล้ว(ส.ค.67) ผมจะเดินผ่านจุดนี้เข้าไปที่ศาลาตรีมุขได้อย่างไร
9. เขมรอ้างว่าถูกรุกราน ไทยไม่แก้ปัญหาโดยสันติ จะขยายความขัดแย้งสู่ศาลโลก ทั้งๆที่สองประเทศมีกลไกแก้ไขปัญหาร่วมกันอยู่ โดยอ้างว่าปัญหาจะได้จบ ถามว่ามันจะจบได้อย่างไร?
10.กัมพูชายังเสริมกำลังทหาร อาวุธยุทโปกรณ์ พยายามจะนำกำลังขยายไปควบคุมพื้นที่อื่นๆตลอดแนวชายแดนทั้งๆที่พื้นที่เหล่านั้นเดิมทั้งสองฝ่ายไม่มีการวางกำลัง เป็นป่าเป็นเขา ถ้าเราเอากำลังไปวางเพื่อป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยก็เผชิญหน้ากัน ทำเพื่ออะไร?
11. กติกาสองบ้านเรามีอยู่ เรามาเปิดหน้าคุยกันอย่างลูกผู้ชายดีกว่าไหม ถ้าเรื่องถึงโรงถึงศาลลูกหลานเราก็จะเป็นปรปักษ์กันตลอดไป จะเกิดประโยชน์อะไรถ้าคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน


ที่มา : https://www.facebook.com/mammoth.s.nutt
Share this content: